
ประวัติคาสิโน ซานเรโม ศูนย์กลางความบันเทิงและการพนัน ที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ในอิตาลี โดยมีความโดดเด่นทั้งสถาปัตยกรรม บทบาททางวัฒนธรรม สถานบันเทิงถูกกฎหมาย ภาพยนตร์และวรรณกรรมต่าง ๆ สำหรับบทความนี้จะพามาดูประวัติและสิ่งน่ารู้ เกี่ยวกับคาสิโนสุดหรูหรา ที่เป็นจุดหมายปลายทางของคนทั่วโลก
ประวัติการพนัน ของคาสิโนซานเรโม ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซานเรโม (Sanremo) ประเทศอิตาลี โดยเป็นคาสิโนที่ได้รับการออกแบบ ให้มีความโดดเด่นทางด้านศิลปะแบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) จากสถาปนิกชาวฝรั่งเศส Eugène Ferret ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 14 มกราคม 1905
โดยสถาปนิกยังถูกรับเลือก ให้เป็นผู้จัดการคนแรก ของกิจกรรมการพนัน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1903 และนับจากนั้นมาตั้งแต่ปี 1913 คาสิโนมีการพัฒนา ทั้งระบบรถราง การรับมือกับคู่แข่ง ทำให้กลายเป็นสถานที่ความบันเทิงครบวงจร งานจัดแสดง เทศกาลดนตรี ร้านอาหาร และสถานที่พบปะของชาวต่างชาติ
การเฉลิมฉลองครบรอบ 120 ปี ของคาสิโนซานเรโม เกิดขึ้นในวันที่ 14 มกราคม 2025 โดยการเปิดนิทรรศการให้เข้าชมฟรี แสดงถึงสัญลักษณ์แห่งวัฒนธรรม ศิลปะความสวยงาม จัดแสดงเครื่องเล่นเกมโบราณ สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม ชุดราตรีจากหลายยุคสมัย และความรู้ต่าง ๆ (16 กุมภาพันธ์ 2025 ) [1]
ภายในคาสิโนซานเรโม เป็นจุดสำคัญที่แสดงถึงความประณีต และความหรูหรา มาตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งสะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรือง ของวัฒนธรรมยุโรป โดยเป็นสถาปัตยกรรมแบบ Art Nouveau หรือในอิตาลีเรียกว่า Stile Liberty ประกอบด้วย โถงกลาง ห้องเล่นเกม โรงละคร โถงบันได และห้องจัดเลี้ยง
ความโดดเด่นเมื่อก้าวขาเข้ามา จะพบกับเพดานสูงโปร่ง ที่ตกแต่งด้วยปูนปั้น ประดับโคมไฟคริสตัล ผนังหินอ่อนอิตาลี และพื้นไม้ชนิดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับการเคลือบเงาอย่างดี จากช่างฝีมืออันทรงเกียรติ ทำให้นึกถึงกลิ่นอายความเจริญในสมัยอดีต (11 เมษายน 2019) [2]
สำหรับห้องเล่นเกม (Gaming Rooms) ส่วนหนึ่งในคาสิโนซานเรโม ที่สร้างรายได้รวมทั้งปี 2024 มากกว่า 51.7 ล้านยูโร (ความนิยมสูง จากเกมสล็อตแมชชีน) ประกอบด้วย ห้องเล่นเกมและโซนต่าง ๆ
ความสำเร็จของการเปิดคาสิโนในอิตาลี เรียกว่าบรรลุเป้าหมายเกินคาดมาก ๆ กับรายได้รวมกว่า หลายพันล้านบาท ทำให้คาสิโน SANREMO เป็นภาพลักษณ์ที่น่าจดจำ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ซึ่งรวมถึงแหล่งประเพณีทางวัฒนธรรม ในประเทศอิตาลี ที่น่าภาคภูมิใจมาก ๆ ตลอดจนถึงปัจจุบัน
คาสิโนซานเรโม โดดเด่นในเรื่องของการเล่นเกม และการพนันถูกกฎหมาย จากผลสำรวจในปี 2024 มีรายได้จากห้องเกมต่าง ๆ รวมยอด 51.7 ล้านยูโร (เทียบเท่ากับ 1,947,280,500 บาท) ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2023 แล้ว มีรายได้เพิ่มมากขึ้นถึง 4.8% จาก 4.8 ล้านยูโร แน่นอนว่าเป็นผลลัพธ์ ที่เหนือความคาดหมาย
รายได้หลักนั้นมาจากห้องเกม กับเกมสล็อตแมชชีน ทำรายได้เป็นจำนวน 38.9 ล้านยูโร และรองลงมา เป็นเกมดั้งเดิมแบบเกมโต๊ะ อย่างเช่น เกมแบล็คแจ็ค เกมรูเล็ต และเกมบาคาร่า รายได้จำนวน 12.8 ล้านยูโร ทั้งยังมีเงินรางวัล หรือแจ็คพอตมากมาย ส่งผลทำให้คาสิโนแห่งนี้ มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นด้วย (1 มกราคม 2025) [3]
ในเรื่องของการเดิมพัน ถึงแม้ในสถานที่นี้ จะมีให้บริการอย่างครบครัน แต่การเดิมพันที่ได้รับความนิยม สำหรับคาสิโนแห่งนี้ มีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ซึ่งส่วนมาก ก็จะเป็นการเดิมพันง่าย ๆ ที่กติกาไม่ยุ่งยาก โดยการเดิมพันที่ได้รับความนิยม ก็จะมี 5 ชนิดด้วยกัน
ซึ่งได้แก่เครื่องสล็อต รูเล็ต โป๊กเกอร์ แบล็คแจ็ค และบาคาร่าแบบ Punto Banco ที่กติกาสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย แถมยังรู้ผลได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การเดิมพันชนิดอื่น ๆ ก็สามารถมอบความสนุกได้เช่นกัน เพียงแต่กติกาจะยุ่งยากกว่า
โดยสรุปเรื่องของ ประวัติคาสิโนที่ชื่อว่า ซานเรโม ปัจจุบันนี้เป็นมากกว่าสถานที่การพนัน เพราะเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรม ของเมืองซานเรโม ในประเทศอิตาลี โดยมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเมือง เพื่อให้เป็นจุดหมายปลายทาง ของการท่องเที่ยว และความบันเทิง ที่สามารถดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งก็รวมถึงบุคคลชั้นสูง และบุคคลโด่งดังมากมายด้วยเช่นกัน
จากที่ได้ลองหาข้อมูล เกี่ยวกับเรื่องค่าเข้าใช้บริการคาสิโน ที่กล่าวถึงในบทความนี้ ไม่ต้องเสียค่าเข้าใช้บริการ เพียงแต่จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด ที่ทางคาสิโนได้กำหนดเอาไว้ด้วย เช่นเรื่องของอายุ ที่ขั้นต่ำจะต้อง 18 ปีขึ้นไป และจะต้องแสดงบัตรประจำตัวที่มีรูปถ่าย แต่หากเป็นนักท่องเที่ยว ก็ให้แสดงหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต เพื่อตรวจสอบตัวตนและอายุ ก่อนเข้าใช้คาสิโน
คาสิโนแห่งนี้ ตั้งอยู่ในทำเลที่สะดวกสบาย และใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง โดยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาด และอยู่ใกล้ ๆ จะมีด้วยกัน 5 สถานที่ โดยที่แรกได้แก่โรงละคร Ariston Theatre ต่อมาคือถนน Via Matteotti ที่มีร้านหลากหลาย
หรือจะไปที่โบสถ์ Russian Orthodox Church ที่มีสถาปัตยกรรมโดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ และสถานที่สุดท้าย ได้แก่ La Pigna หรือย่านเมืองเก่าแก่ ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองได้